🏡 ปรับโครงสร้างหนี้ ทำยังไงให้ธนาคารยอมง่าย ผ่อนไหว ไม่เสียเครดิต
ในวันที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ราคาของกินของใช้พุ่ง รายได้ลดลง แต่ “ค่างวดบ้าน” ยังต้องจ่ายเท่าเดิมทุกเดือน — คนจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึก “ผ่อนไม่ไหว” สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือ…
คุณสามารถ “ปรับโครงสร้างหนี้” กับธนาคารได้ โดยไม่ต้องรอให้โดนยึดบ้าน
บทความนี้จะพาไปรู้จักกับการ ปรับโครงสร้างหนี้บ้าน อย่างละเอียด พร้อมเทคนิคพูดคุยกับธนาคารให้ยอมอนุมัติ ลดภาระหนี้โดยไม่เสียเครดิต
🧾 ปรับโครงสร้างหนี้บ้านคืออะไร?
การปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) คือ การเจรจากับธนาคารเจ้าหนี้ เพื่อ เปลี่ยนเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันของลูกหนี้ เช่น:
- ลดค่างวดรายเดือน
- ยืดระยะเวลาผ่อนชำระ
- พักชำระเงินต้น (จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยชั่วคราว)
- รีเซ็ตดอกเบี้ยให้ต่ำลง
- รวมยอดหนี้ (ถ้ามีหลายก้อน)
🧭 ใครบ้างที่ควรรีบขอปรับโครงสร้างหนี้?
- ผู้ที่ ผ่อนไม่ไหวแล้ว แต่ยังไม่ค้างชำระ
- คนที่ เริ่มมีหนี้สะสม จ่ายขั้นต่ำบ่อยขึ้น
- ผู้ที่มีรายได้ลดลง หรือขาดรายได้ชั่วคราว (เช่น โควิด, ตกงาน, โดนลดเงินเดือน)
- คนที่มี ภาระหนี้หลายก้อน และเริ่มเก็บเงินไม่ทัน
❗ ยิ่งขอปรับก่อนค้างชำระนาน → โอกาสอนุมัติยิ่งสูง และไม่กระทบเครดิตบูโร
💬 คุยกับธนาคารยังไงให้ยอมปรับโครงสร้างหนี้?
📝 1. เตรียม “เหตุผล” ที่หนักแน่นและจริงใจ
ธนาคารอยากเห็นความตั้งใจ ไม่ใช่ข้ออ้าง…เหตุผลควรชัด เช่น
- รายได้ลดลงจากปัจจัยภายนอก (โรคระบาด, เลิกจ้าง)
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นชั่วคราว เช่น มีสมาชิกในบ้านป่วย, ลูกเรียนมหา’ลัย
- มีภาระหนี้ก้อนอื่นที่จำเป็น เช่น หนี้บัตรเครดิต, ค่ารักษา
🔎 แนบเอกสารหลักฐานไว้ เช่น หนังสือเลิกจ้าง / ใบรับรองแพทย์ / รายรับ-รายจ่ายรายเดือน
จุดประสงค์: เพื่อให้ลูกหนี้สามารถ “รักษาทรัพย์” และยังคงผ่อนบ้านต่อไปได้ โดยไม่เสียประวัติเครดิต หรือหลุดจากระบบธนาคาร
📂 2. เตรียมเอกสารให้ครบ
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- หนังสือรับรองเงินเดือน หรือ Statement
- หนังสือขอปรับโครงสร้างหนี้ (ธนาคารบางแห่งมีฟอร์มให้)
🤝 3. ขอเจรจาแบบสุภาพ มีท่าทีร่วมมือ
- บอกธนาคารว่าคุณ อยากผ่อนต่อแต่ต้องการให้ปรับเงื่อนไข
- เสนอแผนที่คุณคิดว่า “จะผ่อนไหว” เช่น ลดเหลือ 5,000 บาทต่อเดือนใน 1 ปีนี้ แล้วกลับมาเป็นปกติหลังจากนั้น
- แสดงความตั้งใจดี เช่น พร้อมจ่ายตรงเวลา, พร้อมปรับแผนรายจ่ายอื่นเพื่อลดภาระ
📉 4. ขอเงื่อนไขที่เหมาะกับคุณจริง ๆ
ทางเลือก | รายละเอียด |
ยืดระยะเวลาผ่อน | ผ่อนนานขึ้น → ค่างวดลดลง |
พักชำระเงินต้น | จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย 3–12 เดือน |
รีเซ็ตอัตราดอกเบี้ย | ลดดอกเบี้ยชั่วคราวในช่วงวิกฤต |
เปลี่ยนวิธีผ่อน | เช่น ผ่อนแบบ Step (ค่างวดค่อย ๆ เพิ่ม) |
📌 ข้อควรรู้ก่อนปรับโครงสร้างหนี้
- ✅ ควรติดต่อธนาคาร ก่อนเริ่มค้างชำระ
- ❌ อย่าปล่อยให้ค้างนานหลายเดือนแล้วค่อยไป เพราะอาจ “เสียเครดิตบูโร” แล้ว
- ⚠️ บางกรณีธนาคารอาจให้ทำสัญญาใหม่ = เสียค่าธรรมเนียม หรือ MRTA ใหม่
- 📍 ขอสัญญาอ่านก่อนเซ็นทุกครั้ง และเก็บเอกสารไว้อย่างดี
📌 ต่างจาก “รีไฟแนนซ์บ้าน” อย่างไร?
❗ รีไฟแนนซ์ = ย้ายหนี้ไปธนาคารใหม่
✅ ปรับโครงสร้างหนี้ = เจรจากับธนาคารเดิม
การ ปรับโครงสร้างหนี้ เหมาะกับผู้ที่ “มีปัญหาทางการเงินจริง” เช่น ตกงาน รายได้ลด สุขภาพมีปัญหา หรือกำลังเริ่มค้างชำระบ้าน ไม่จำเป็นต้องย้ายหนี้ไปธนาคารอื่นให้วุ่นวาย
📉 ถ้าไม่ปรับหนี้… จะเกิดอะไรขึ้น?
การเพิกเฉย ไม่ติดต่อธนาคาร ไม่ขอปรับโครงสร้างหนี้ แล้ว “หยุดผ่อนเฉย ๆ” อาจดูเหมือนไม่ร้ายแรงในช่วงแรก…แต่ผลลัพธ์จริงนั้น แรงและลุกลาม กว่าที่หลายคนคิด
❗ เส้นทางของหนี้… เมื่อไม่จัดการ
1️⃣ ค้างค่างวด = ถูกโทรตาม / เร่งรัดหนี้
ธนาคารจะเริ่มโทรตามอย่างต่อเนื่อง และส่งหนังสือเตือนมาเรื่อย ๆ
หากยังนิ่ง → ส่งเข้าสู่กระบวนการติดตามหนี้อย่างจริงจัง
2️⃣ ผิดนัดเกิน 90 วัน = ติดเครดิตบูโร
เมื่อคุณค้างเกิน 3 งวด ธนาคารจะรายงานสถานะ “ผิดนัดชำระ” ไปยังเครดิตบูโร
→ ส่งผลกระทบต่อการกู้ทุกอย่างในอนาคต (แม้ปิดหนี้แล้ว ข้อมูลจะอยู่ในระบบ 3 ปี)
3️⃣ ไม่ตอบรับ – ไม่ประนีประนอม = ถูกฟ้อง
เมื่อผ่านระยะติดตามหนี้ และคุณยังไม่ตอบกลับ
→ ธนาคารจะดำเนินการ “ฟ้องร้อง” เพื่อยึดทรัพย์ตามกฎหมาย
4️⃣ บ้านถูกยึด – นำไปขายทอดตลาด
บ้านจะถูกประเมินและขายทอดตลาด หากราคาขายต่ำกว่ายอดหนี้
→ คุณยังต้องจ่าย “ส่วนต่าง” ที่เหลือ
→ แถม เสียทั้งบ้าน + เสียเครดิต + เสียประวัติในระบบธนาคาร
🚫 หยุดผ่อนโดยไม่คุยกับธนาคาร = เสี่ยงที่สุด!
❗ “เงียบ” ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย
แต่ “พูดคุยเชิงสร้างสรรค์” คือทางรอดที่แท้จริง
✅ ทำยังไงดี?
- ติดต่อฝ่ายสินเชื่อของธนาคารทันที
- ขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือยืดระยะเวลาผ่อน
ถ้ากลัวไม่กล้าเจรจา → ให้ที่ปรึกษาการเงินช่วยพูดแทน
🎯 ทริคพิเศษ:
คนที่ “เข้าหาธนาคารก่อน – พูดดี – เตรียมพร้อม”
มักได้ผลตอบรับที่ดีกว่าคนที่เงียบหายแล้วไปขอทีหลัง!
📌 ข้อดี–ข้อควรระวังของการปรับโครงสร้างหนี้
การปรับโครงสร้างหนี้บ้าน ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าคุณเข้าใจข้อดีและข้อควรระวัง ก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และวางแผนทางการเงินได้ดีขึ้น
✅ ข้อดีของการปรับโครงสร้างหนี้
✅ จุดเด่น | 💬 อธิบายเพิ่มเติม |
ไม่เสียบ้าน | ธนาคารให้โอกาสคุณผ่อนต่อในเงื่อนไขใหม่ ไม่โดนยึด |
ไม่ถูกฟ้องร้อง | หยุดกระบวนการฟ้องศาล หากคุณเจรจาได้ก่อน |
ผ่อนไหวขึ้นจริง | ปรับเงื่อนไขให้เหมาะกับรายได้ เช่น ยืดเวลาผ่อน ลดค่างวด |
บางธนาคารไม่รายงานเครดิตบูโร | หากคุณยังไม่ผิดนัด และยื่นขอก่อนค้างจ่ายเกิน 90 วัน |
⚠️ ข้อควรระวังของการปรับโครงสร้างหนี้
⚠️ ระวังเรื่องนี้ | 💬 ทำไมต้องคิดก่อนตัดสินใจ |
ผ่อนนานขึ้น = ดอกเบี้ยรวมสูงกว่าเดิม | ถึงค่างวดลดลง แต่ระยะเวลายาวขึ้น → รวมแล้วอาจจ่ายมากกว่าเดิม |
ผิดนัดหลังปรับ = เสี่ยงมากกว่าเดิม | ธนาคารมองว่า “ให้โอกาสแล้ว” → ถ้าผิดนัดอีก อาจฟ้องเร็วกว่าเดิม |
ต้องผ่อนตามแผนใหม่เป๊ะ ๆ | ห้ามผิดนัดแม้แต่เดือนเดียว เพราะถือว่าผิดเงื่อนไขสัญญาใหม่ทันที |
🎯 ข้อแนะนำ:
ถ้าคุณมั่นใจว่า “แผนใหม่ผ่อนไหวจริง” การปรับโครงสร้างหนี้คือโอกาสที่ดี
แต่ถ้าแค่ประวิงเวลาแล้วจะจ่ายไม่ได้อยู่ดี = ต้องคิดทางเลือกอื่นด้วย เช่น ขายฝากชั่วคราว หรือหาผู้ร่วมผ่อน
ผ่อนบ้านไม่ไหว ต้องทำยังไงดี? ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน รายได้ลดลง แต่อัตราดอกเบี้ยยังคงเดิม หลายคนเริ่มรู้สึกว่า… “ผ่อนบ้านไม่ไหวแล้ว”
ข่าวดีคือ — คุณไม่จำเป็นต้องรอจนบ้านหลุดมือ!
ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เปิดโครงการ
“คุณสู้ เราช่วย” สำหรับคนที่ยังมีรายได้แต่แบกรับค่างวดไม่ไหว
🤝 โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จากธนาคารแห่งประเทศไทย
ช่วยลูกหนี้ที่ยังสู้ ผ่อนต่อไหว ให้เดินหน้าต่อได้แบบไม่ล้ม
ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน ค่าใช้จ่ายพุ่ง รายได้ลดลง คนผ่อนบ้าน-ผ่อนรถหลายคนเริ่มกังวลว่า “จะไหวไหม?” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงร่วมมือกับสถาบันการเงิน ออก “โครงการคุณสู้ เราช่วย” เพื่อให้คนที่ “ยังสู้ไหว” มีทางรอด มีเงินเหลือใช้ และไม่ต้องเสียเครดิต
🏦 โครงการนี้คืออะไร?
“คุณสู้ เราช่วย” คือโครงการปรับโครงสร้างหนี้แบบสมัครใจ สำหรับลูกหนี้ที่…
- ยังไม่ผิดนัดชำระ
- ยังพอมีรายได้อยู่ แต่รายได้น้อยลง
- ยังมีความสามารถในการผ่อนชำระบางส่วน
- ต้องการลดภาระหนี้ เพื่อให้มีสภาพคล่องมากขึ้น
💡 โครงการนี้เน้นช่วย ลดดอกเบี้ย ลดค่างวด ยืดระยะเวลาผ่อน
เพื่อให้คุณ “อยู่รอดได้” และไม่หลุดจากระบบ
✅ เงื่อนไขเบื้องต้นของผู้เข้าร่วม
ผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ ได้แก่…
- เป็น ลูกหนี้รายย่อย (หนี้บ้าน, หนี้รถ, บัตรเครดิต, สินเชื่อบุคคล ฯลฯ)
- ไม่ได้ผิดนัดชำระนานเกิน 90 วัน
- มีความตั้งใจผ่อนต่อ แต่ภาระหนี้หนักเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้
รายได้ลดลงจริง (แต่ยังมีอยู่) เช่น มนุษย์เงินเดือนโดนลดเงินเดือน / ฟรีแลนซ์งานน้อยลง
🧾 ธนาคารจะช่วยยังไง?
มาตรการช่วยเหลือ | รายละเอียด |
🟢 ลดค่างวด | ผ่อนต่อเดือนน้อยลง (จากเดิม 12,000 → เหลือ 6,000 บาท) |
🟢 ยืดระยะเวลาผ่อน | เพิ่มปีผ่อน → ลดภาระเฉลี่ยต่อเดือน |
🟢 พักเงินต้น | จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยช่วงแรก 3–12 เดือน |
🟢 ลดดอกเบี้ยชั่วคราว | ดอกเบี้ยพิเศษต่ำกว่าเรตปกติ |
🟢 รวมหนี้หลายก้อน | รวมบัตรเครดิต/สินเชื่อบุคคลเข้ากับบ้าน หรือผ่อนใหม่ให้เหลือก้อนเดียว |
📌 จุดเด่นของโครงการนี้
- เป็นโครงการภายใต้การกำกับของ ธนาคารแห่งประเทศไทย
- ไม่ใช่มาตรการบังคับ แต่สมัครใจ → ลูกหนี้ขอเข้าร่วมเองได้
- ไม่กระทบเครดิตบูโร (ถ้าไม่ผิดนัดมาก่อน)
- เหมาะสำหรับคนที่ “ยังพอมีรายได้” แต่แบกรับภาระหนี้ไม่ไหวแล้ว
🗂 ต้องใช้เอกสารอะไร?
- สำเนาบัตรประชาชน
- เอกสารแสดงรายได้ / สลิปเงินเดือน / รายการเดินบัญชี
- เอกสารแสดงภาระหนี้ เช่น สัญญากู้ ตารางผ่อน
- หลักฐานรายได้ลดลง (ถ้ามี)
🗨 วิธีขอเข้าร่วมโครงการ
- ติดต่อธนาคารเจ้าหนี้ของคุณโดยตรง (สาขา, คอลเซ็นเตอร์ หรือแอปฯ ของธนาคาร)
- แจ้งว่า “ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย”
- เตรียมเอกสารตามที่ธนาคารแนะนำ
- รอการพิจารณาเงื่อนไข (ระยะเวลาอนุมัติ 7–14 วันโดยประมาณ)
⚠️ ข้อควรรู้ก่อนสมัคร
- ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับอนุมัติในเงื่อนไขเดียวกัน → ขึ้นอยู่กับรายได้ ความสามารถในการผ่อน และพฤติกรรมทางการเงิน
- ถ้าปรับแล้ว “ยังผิดนัด” → จะส่งผลต่อเครดิตทันที
โครงการนี้ ไม่ใช่การล้างหนี้ แต่เป็น “การปรับให้ผ่อนไหว”
🎯 คุณสู้ = เราช่วย
โครงการนี้ไม่ใช่แค่ช่วยคุณ “รอดจากดอกเบี้ยแพง”
แต่คือการให้โอกาสคุณ “ตั้งหลักใหม่ โดยไม่เสียเครดิต”
ถ้าคุณกำลังเหนื่อยกับภาระหนี้ อย่าเพิ่งยอมแพ้
ลองปรึกษาธนาคารของคุณ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
Join The Discussion