รีไฟแนนซ์บ้าน 2025 คุ้มไหม? วิธีลดดอกเบี้ยผ่อนบ้านให้เบาลง

  • 4 months ago
  • 0
รีไฟแนนซ์

🏡 รีไฟแนนซ์บ้าน 2025 คุ้มไหม? วิธีลดดอกเบี้ยผ่อนบ้านให้เบาลง

ดอกเบี้ยบ้านขึ้นไม่หยุด ผ่อนก็หนักขึ้นทุกเดือน จึงไม่น่าแปลกใจที่คำว่า รีไฟแนนซ์บ้าน กลับมาฮิตอีกครั้งในปี 2025   หลายคนเริ่มสงสัยว่า…

“รีไฟแนนซ์ตอนนี้ยังคุ้มอยู่ไหม?”
“รีแล้วช่วยประหยัดได้จริงหรือเปล่า?”
“ต้องเตรียมตัวยังไงถึงจะรีผ่านง่ายๆ?”

บทความนี้จะพาคุณมาดูแบบครบมุม ทั้งเทคนิคลดดอกเบี้ยบ้าน วิธีรีให้คุ้ม และเช็กลิสต์เตรียมตัวก่อนยื่นอย่างมืออาชีพ

💡 รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? (Refinance)

รีไฟแนนซ์บ้าน คือ การเปลี่ยนธนาคารเจ้าหนี้จากที่เดิม ไปยังธนาคารใหม่ที่เสนอเงื่อนไข “ดอกเบี้ยต่ำกว่า” หรือให้เงื่อนไขการผ่อนชำระที่ “เหมาะกับคุณมากขึ้น” เช่น ผ่อนน้อยลง ผ่อนนานขึ้น หรือลดยอดหนี้ให้สบายใจ

การรีไฟแนนซ์จึงเป็น “เครื่องมือทางการเงิน” ที่ช่วยให้เจ้าของบ้านประหยัดดอกเบี้ยได้เป็นแสน หรือแม้กระทั่งเป็นล้านบาทในระยะยาว

✅ จุดประสงค์หลักของการรีไฟแนนซ์

  1. ลดภาระ “ดอกเบี้ย” ที่จ่ายเกินความจำเป็น  ในช่วงแรกของการผ่อนบ้าน หลายธนาคารจะเสนอ “ดอกเบี้ยพิเศษ” ต่ำมากใน 3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นดอกเบี้ยจะขยับขึ้นเป็น “เรตลอยตัว” ที่สูงกว่ามาก (เช่น 6.5–8.0%) การรีไฟแนนซ์จึงช่วยให้คุณกลับมาใช้ “เรทดอกเบี้ยต่ำ” ได้อีกครั้ง

ตัวอย่าง: ถ้าคุณเหลือหนี้บ้าน 2,000,000 บาท ดอกเบี้ย 7.5%/ปี คุณจะจ่ายดอกเบี้ยปีละประมาณ 150,000 บาท  แต่ถ้ารีไฟแนนซ์เหลือแค่ 3.5%/ปี คุณจะจ่ายดอกเบี้ยปีละ 70,000 บาท ประหยัดทันทีปีละ 80,000 บาท

  1. ลดค่างวดรายเดือน  หากคุณมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น ลูกเรียนมหา’ลัย หรือมีภาระใหม่ การรีไฟแนนซ์สามารถช่วย “ลดค่างวดรายเดือน” เพื่อให้มีเงินเหลือใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยอาจเลือกเพิ่มระยะเวลาการผ่อนให้ยาวขึ้น
  1. เปลี่ยนเงื่อนไขการกู้ให้เหมาะกับสถานะทางการเงินปัจจุบัน

กรณีเช่น

  • ต้องการเปลี่ยนชื่อผู้กู้ (เช่น จากเดิมคู่สามี-ภรรยา เหลือเพียงคนเดียว)
  • รวมสินเชื่อบ้าน + สินเชื่อส่วนบุคคลเข้าด้วยกัน
  • เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เป็นแบบคงที่

ก็สามารถใช้ “รีไฟแนนซ์” เพื่อ ปรับโครงสร้างหนี้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ชีวิตปัจจุบัน



🔍 รีไฟแนนซ์บ้าน 2025 ยังน่าทำอยู่ไหม?

คำตอบคือ… “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณ”

ในปี 2025 แม้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะมีแนวโน้มผันผวน แต่สำหรับหลายคน “การรีไฟแนนซ์” ยังคงเป็นตัวช่วยประหยัดเงินที่ คุ้มค่ามาก โดยเฉพาะหากคุณเข้าเงื่อนไขเหล่านี้:

เช็กเลย! ✅คุณเข้าข่ายรีไฟแนนซ์แล้วคุ้มไหม?

เงื่อนไข

เหตุผล

ผ่อนบ้านมาแล้วเกิน 3 ปี

หมดช่วงโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำ ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยลอยตัวที่สูงขึ้น

ดอกเบี้ยบ้านปัจจุบันเกิน 4.5%

ถือว่าสูง สามารถหาดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลงได้

มีประวัติผ่อนดี เครดิตดี

ทำให้ธนาคารใหม่อนุมัติง่าย และอาจได้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ

เหลือวงเงินกู้หลักล้าน

รีไฟแนนซ์จะคุ้มค่ามากเมื่อยอดเงินกู้เหลือเยอะ

อยากลดดอกเบี้ย หรืออยากรวมหนี้บัตร/สินเชื่อส่วนบุคคล

รีไฟแนนซ์ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้ผ่อนสบายขึ้น

💡 ถ้าเข้าตรง 3 ข้อขึ้นไป = รีไฟแนนซ์  “คุ้มค่าแน่นอน!”  โดยเฉพาะถ้า…

  • คุณต้องการลดดอกเบี้ยและค่างวดต่อเดือน
  • คุณกำลังจะหมดเงินก้อน และอยากลดภาระ
  • คุณอยากใช้เครดิตดีให้เป็นประโยชน์เพื่อกู้เรทดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม

อย่าลืมว่า “เงินดอกเบี้ยที่ประหยัดได้” ก็คือ “กำไรในชีวิตจริง” ที่คุณจะไม่ต้องจ่ายให้ธนาคารอีกต่อไป

📊 วิธีรีไฟแนนซ์บ้านให้คุ้ม

หากคุณตัดสินใจรีไฟแนนซ์บ้าน เป้าหมายคือ “ลดดอกเบี้ยให้มากที่สุด” และ “จ่ายค่างวดให้น้อยลงโดยรวม” แต่การรีไฟแนนซ์จะ คุ้ม หรือ ขาดทุนค่าธรรมเนียมโดยใช่เหตุ ก็อยู่ที่ขั้นตอนการเตรียมตัว ดังนี้:

🔍 1. เช็กดอกเบี้ยที่คุณกำลังจ่ายอยู่

  • ธนาคารเดิมคิดดอกเบี้ยคุณอยู่ที่ กี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี?
  • เป็นอัตราดอกเบี้ย ลอยตัว (ปรับขึ้นลงตามตลาด) หรือ คงที่?
  • อยู่ในช่วงโปรฯ 3 ปีแรกอยู่หรือไม่?

🔸 ถ้าดอกเบี้ยปัจจุบัน เกิน 4.5% = มีโอกาสรีไฟแนนซ์แล้วคุ้ม
🔸 ถ้าเป็นเรตลอยตัว และผ่อนมาเกิน 3 ปี = เข้าเงื่อนไขรีไฟแนนซ์ได้เลย

🏦 2. เปรียบเทียบโปร “รีไฟแนนซ์บ้าน” ปี 2025 จากธนาคารชั้นนำ

ไม่ควรรีบเซ็นสัญญากับธนาคารใดธนาคารหนึ่งทันที ให้คุณ ขอใบเสนอ อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ จาก 3–5 ธนาคารขึ้นไป เพื่อดูว่าใครให้เงื่อนไขดีที่สุด

รีไฟแนนซ์


ธนาคาร

ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก

ผ่อนสูงสุด

ค่าจดจำนอง

ฟรีค่าธรรมเนียม

จุดเด่น

SCB (ไทยพาณิชย์)

ปีแรก 2.99% → เฉลี่ย 3 ปี 3.49%

30 ปี

1%

✔️ ฟรีประเมิน ✔️ ฟรีค่าจัดการ

อนุมัติไว, มีรีไฟแนนซ์รวมหนี้

KBank (กสิกรไทย)

ปีแรก 2.88% → เฉลี่ย 3.39%

30 ปี

1%

✔️ ฟรีค่าประเมิน

ผ่อนสูงสุด 40 ปี, ขอออนไลน์ได้

Krungsri (กรุงศรี)

ปีแรก 2.79% → เฉลี่ย 3.35%

30 ปี

1%

✔️ ฟรีค่าประเมิน & อากร

คำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก

Krungthai (กรุงไทย)

ปีแรก 3.00% → เฉลี่ย 3.50%

35 ปี

1%

❌ มีบางค่าใช้จ่าย

เหมาะกับผู้มีบัญชีเงินเดือนกับ KTB

UOB

ปีแรก 2.85% → เฉลี่ย 3.30%

30 ปี

1%

✔️ ฟรีทุกค่าใช้จ่าย (บางโปร)

มีโปรพ่วง MRTA ดอกเบี้ยต่ำ

TMB Thanachart (ttb)

ปีแรก 2.65% → เฉลี่ย 3.20%

35 ปี

1%

✔️ ฟรีค่าธรรมเนียมยกชุด

มีโปรรีไฟแนนซ์พร้อมเงินก้อน

🔍 เคล็ดลับการเลือกโปรรีไฟแนนซ์ให้เหมาะกับคุณ

✅ หากต้องการลดค่างวดรายเดือน → เลือกโปรดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 3 ปีแรก
✅ หากต้องการลดค่าใช้จ่าย upfront → เลือกโปรที่ฟรีค่าประเมิน/จดจำนอง/จัดการ
✅ หากต้องการรีรวมหนี้บัตรเครดิต → ดูธนาคารที่อนุญาตรีไฟแนนซ์แบบรวมหนี้ได้

💰 3. คำนวณความคุ้มค่าแบบคร่าวๆ

ก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน คุณควรประเมินคร่าว ๆ ก่อนว่า “คุ้มค่าจริงไหม?” ด้วยสูตรง่าย ๆ ที่ไม่ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์ก็คิดได้:

📐 สูตรประเมินเบื้องต้น:
ดอกเบี้ยเดิม − ดอกเบี้ยใหม่ = ส่วนต่างที่ประหยัดได้

ตัวอย่าง:

  • ดอกเบี้ยเดิม: 6.5%
  • ดอกเบี้ยใหม่: 3.5%
  • ส่วนต่าง = 3.0%

ถ้าคุณยังเหลือยอดกู้อีก 1.5 ล้านบาท และจะผ่อนอีก 15 ปี
คุณอาจ ประหยัดดอกเบี้ยได้เกิน 500,000 บาท เลยทีเดียว!

🟢 คุ้ม! ถ้า…

  • ส่วนต่างดอกเบี้ย ≥ 1.0% ขึ้นไป
  • ยอดเงินกู้เหลือ หลักแสนปลาย – หลักล้าน
  • ยังมีระยะเวลาผ่อนเหลือ อีกหลายปี
  • ได้โปรรีไฟแนนซ์ที่มี ค่าธรรมเนียมต่ำหรือฟรีค่าบริการ

🔴 ไม่คุ้ม! ถ้า…

  • เหลือยอดหนี้ไม่เยอะ (เช่น < 300,000 บาท)
  • ผ่อนบ้านใกล้หมดแล้ว (เหลือไม่ถึง 3 ปี)
  • ค่าธรรมเนียมสูง เช่น ค่าปรับธนาคารเดิม หรือค่าจดจำนองแพง
  • ได้เรตดอกเบี้ยใหม่ที่ต่างจากเดิมไม่ถึง 0.5%

TIP: ใช้เครื่องคำนวณออนไลน์จากเว็บไซต์ธนาคาร เพื่อดูตัวเลขจริงก่อนตัดสินใจ

🧾 ค่าใช้จ่ายที่ต้องรู้ก่อนรีไฟแนนซ์

รายการ

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

ค่าประเมินบ้าน

2,000–5,000 บาท

ค่าจดจำนองใหม่

1% ของวงเงินกู้

ค่าธรรมเนียมแบงก์ใหม่

บางแห่ง “ฟรี”

MRTA/ประกันชีวิต

ขึ้นอยู่กับอายุ/วงเงินกู้

ค่าปรับแบงก์เดิม (ถ้ามี)

ดูในสัญญา

วิธีรีไฟแนนซ์บ้านให้คุ้มอย่าลืมเปรียบเทียบ “ค่าธรรมเนียมรวม” กับ “ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้”

📝 ขั้นตอนขอรีไฟแนนซ์แบบมืออาชีพ

หากคุณอยากรีไฟแนนซ์บ้านแบบ “เนียน ๆ ไม่มีสะดุด” จนธนาคารอนุมัติไว ผ่อนถูก และไม่มีปัญหาตามมา ลองทำตาม 7 ขั้นตอนนี้ แบบมืออาชีพ:

🟢 1. ตรวจสอบสัญญาเดิมก่อน

  • เช็กว่า “ผ่อนมาแล้วกี่ปี?” หากยังไม่ครบ 3 ปี อาจมีค่าปรับ
  • ดูอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน และรายละเอียดอื่น เช่น ค่าประกัน MRTA หรือค่าจดจำนองเดิม
  • ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือ (Outstanding Balance)

TIP:  โทรสอบถาม ฝ่ายสินเชื่อธนาคารเดิม ขอ “ใบสรุปยอดหนี้” ล่าสุดได้เลย

🟢 2. เปรียบเทียบโปรรีไฟแนนซ์จากหลายธนาคาร

  • ขอใบเสนอจากธนาคารต่าง ๆ อย่างน้อย 3 เจ้า
  • พิจารณาทั้งดอกเบี้ย 3 ปีแรก + ดอกเบี้ยลอยตัวหลังปีที่ 4
  • ดูว่ามีฟรีอะไรบ้าง เช่น ค่าประเมิน / ค่าจดจำนอง / ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
  • ถามให้ชัดว่า “ต้องซื้อ MRTA” หรือไม่ และภาระผูกพันประกันกี่ปี

🟢 3. เตรียมเอกสารให้พร้อม

เอกสารที่มักใช้:

  • สำเนาบัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน
  • สัญญากู้/โฉนด/สัญญาซื้อขายเดิม
  • สลิปเงินเดือน 3 เดือน / หนังสือรับรองเงินเดือน
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
  • หนังสือยินยอมให้ตรวจเครดิตบูโร

TIP: ถ้าคุณมีรายได้เสริม เช่น คอมมิชชัน หรือรายได้จากเช่า อย่าลืมแนบเอกสารแสดงรายได้เพิ่มเติมด้วย

🟢 4. ยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่

  • ยื่นเอกสารให้ครบทุกฉบับ
  • ธนาคารจะประเมินหลักประกัน (เช่น บ้านหรือคอนโด)
  • อนุมัติวงเงินและแจ้งผลประมาณ 3–15 วันทำการ
  • หากอนุมัติ จะมีวันนัดโอนจำนองที่สำนักงานที่ดิน

🟢 5. ชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในวันโอน

ค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้น:

  • ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ใหม่ (บางธนาคารมีโปรโมชั่นฟรี)
  • ค่าอากรแสตมป์ 0.05%
  • ค่าประเมินหลักทรัพย์ (ประมาณ 3,000–5,000 บาท)
  • ค่าทำนิติกรรม (บางกรณี)

🟢 6. ธนาคารใหม่ปิดบัญชีให้คุณกับธนาคารเดิม

  • ธนาคารใหม่จะโอนเงินไปเคลียร์หนี้กับธนาคารเดิมให้
  • โฉนดจะถูกนำไปจดจำนองใหม่กับธนาคารใหม่
  • คุณไม่ต้องทำเอง ธนาคารจัดการให้ทุกขั้นตอน

🟢 7. เริ่มต้นผ่อนกับธนาคารใหม่

  • เมื่อกระบวนการเสร็จ คุณจะได้รับ “สัญญากู้ใหม่”
  • เริ่มชำระค่างวดกับธนาคารใหม่ตามเงื่อนไขที่ตกลง

แนะนำให้จ่ายผ่านระบบหักบัญชีอัตโนมัติ เพื่อลดความผิดพลาด

✅ ทริคเสริม:

  • รีไฟแนนซ์ทุก 3 ปี ช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้หลักแสนบาท
  • บางธนาคารมี “รีไฟแนนซ์พร้อมเพิ่มวงเงิน” สำหรับคนที่อยากได้เงินก้อนมาใช้จ่ายหรือลงทุน

📋 Checklist ก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน

ก่อนจะเดินเข้าไปยื่นเอกสารกับธนาคาร ลองเช็กสิ่งเหล่านี้ให้ครบก่อน เพื่อให้การรีไฟแนนซ์ “ไม่พลาด ไม่เปลือง และคุ้มที่สุด!”

เช็กสถานะของคุณ

  • ผ่อนบ้านมาแล้ว มากกว่า 3 ปี
  • ดอกเบี้ยปัจจุบัน เกิน 4.5%
  • เหลือยอดหนี้มากกว่า 500,000 บาทขึ้นไป
  • ประวัติการผ่อนชำระดี ไม่มีค้างชำระ
  • ต้องการลดดอกเบี้ย / ลดค่างวด / เปลี่ยนธนาคาร

เตรียมเอกสารให้พร้อม

  • สำเนาบัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน
  • สัญญาเงินกู้ / โฉนดบ้าน หรือคอนโด
  • สลิปเงินเดือน 3 เดือนล่าสุด
  • Statement เดินบัญชี 6 เดือน
  • หนังสือยินยอมให้ตรวจเครดิตบูโร
  • เอกสารรายได้เสริม (ถ้ามี)

ตรวจสอบข้อมูลจากธนาคารเดิม

  • ขอยอดหนี้คงเหลือ (Outstanding Balance)
  • ตรวจสอบว่า “มีค่าปรับกรณีปิดบัญชีก่อนกำหนด” หรือไม่
  • ตรวจสอบประกัน MRTA (ยังคุ้มครองอยู่หรือไม่?)

เปรียบเทียบโปรธนาคารใหม่

  • ขอใบเสนอโปรรีไฟแนนซ์จากอย่างน้อย 3 ธนาคาร
  • ดูอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก
  • เปรียบเทียบ Effective Rate
  • ตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมแฝงหรือไม่
  • มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง (ฟรีค่าประเมิน/ยกเว้นค่าจดจำนอง ฯลฯ)

วางแผนระยะยาว

  • คิดแล้วว่า “จะผ่อนอีกกี่ปี?”
  • ต้องการลดค่างวด หรือลดยอดรวมดอกเบี้ย?
  • มีโอกาสรีไฟแนนซ์อีกในอนาคตหรือไม่?

🛑 ถ้ายังไม่พร้อม…

อาจรอให้ครบ 3 ปี หรือเคลียร์ประวัติสินเชื่อก่อน เพราะรีไฟแนนซ์ที่ไม่คุ้ม อาจเสียค่าธรรมเนียมโดยไม่จำเป็น


💬 ข้อแนะนำพิเศษ:

ถ้ามีที่ปรึกษาสินเชื่อหรือโบรกเกอร์ช่วยเปรียบเทียบธนาคาร จะลดเวลาเตรียมเอกสาร และได้เรทที่คุ้มที่สุดแบบไม่ต้องวิ่งเองหลายที่เลยค่ะ


⚠️ คำเตือนก่อนรีไฟแนนซ์

การรีไฟแนนซ์บ้านอาจดูเหมือนดีเสมอไป แต่จริง ๆ แล้ว “ไม่ใช่ทุกคนที่ควรรีไฟแนนซ์” ถ้าคุณไม่ได้เช็กให้รอบคอบ อาจเสียค่าธรรมเนียมฟรี ๆ หรือผ่อนนานขึ้นโดยไม่จำเป็น

🔴 1. ดอกเบี้ยต่างกันไม่ถึง 1% = อาจไม่คุ้ม
หากส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างธนาคารเดิมกับใหม่ ไม่ถึง 1.0% โดยเฉพาะถ้าเหลือยอดหนี้น้อย → อาจประหยัดได้นิดเดียว แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหลายรายการแทน

🔴 2. รีไฟแนนซ์ตอนยังไม่ครบ 3 ปี = เจอค่าปรับ

  • ธนาคารส่วนใหญ่ คิดค่าปรับ 3% ของยอดหนี้คงเหลือ หากปิดบัญชีก่อน 3 ปี
  • ถ้าเจอค่าปรับสูง แต่ประหยัดดอกเบี้ยได้น้อย → ขาดทุนชัด ๆ

🔴 3. ค่าธรรมเนียมแฝงที่หลายคนมองข้าม

  • ค่าจดจำนอง (1% ของวงเงินกู้ใหม่)
  • ค่าอากร 0.05%
  • ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์
  • ค่าทำนิติกรรม
  • ค่าธรรมเนียมทนาย (บางกรณี)

💸 รวมแล้วอาจต้องเตรียมเงินไว้ 15,000 – 30,000 บาท ขึ้นไป

🔴 4. ธนาคารใหม่อาจให้วงเงินน้อยกว่าที่คิด

  • หากเครดิตไม่ดี รายได้ลดลง หรือมีภาระหนี้สูง ธนาคารใหม่อาจอนุมัติไม่เต็มวงเงิน
  • ต้องสำรองเงินเพิ่ม หรืออาจกู้ไม่ผ่านเลย

🔴 5. MRTA ใหม่ = ภาระผูกพันระยะยาว

  • บางธนาคาร “บังคับ” ทำประกันชีวิต MRTA เป็นเงื่อนไขดอกเบี้ย
  • ต้องดูให้ดีว่าจ่ายเป็นก้อน หรือรวมในยอดกู้
  • บางคนจ่ายเพิ่มหลายหมื่นโดยไม่รู้ตัว

🧠 ข้อคิดก่อนตัดสินใจ:

✨ ถ้าคุณ ประหยัดดอกเบี้ยได้มากกว่า “ค่าใช้จ่ายทั้งหมด” ที่เกิดจากการรีไฟแนนซ์ = คุ้ม
✨ แต่ถ้า “เหนื่อย เสียเงินเพิ่ม และไม่ได้ลดภาระจริง” = ยังไม่ต้องรีบรีไฟแนนซ์ก็ได้



🏁 สรุป – รีไฟแนนซ์บ้าน 2025 คุ้มหรือไม่?

ถ้าคุณกำลังผ่อนบ้านด้วยดอกเบี้ยสูง ค่างวดเริ่มหนักขึ้นทุกเดือน อยากมีเงินเหลือใช้ แต่ไม่อยากย้ายบ้านและอยากให้ค่างวดเบาลงในระยะยาว การ รีไฟแนนซ์บ้าน คือ “ตัวช่วยสำคัญ” ที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในปี 2025 ที่ธนาคารหลายแห่งเปิดโปรโมชั่นแข่งขันกันสุดฤทธิ์! พร้อมให้ดอกเบี้ยต่ำ ฟรีค่าธรรมเนียม และบริการครบวงจร

รีไฟแนนซ์ดี = ผ่อนเบา = เหลือเงินใช้ = มีความสุขในบ้านหลังเดิมแบบไม่เครียด 💖

อย่าลืม… แค่เปลี่ยนธนาคาร อาจเปลี่ยนชีวิตการเงินของคุณไปอีกหลายปี
เช็กสิทธิ์และเงื่อนไขให้ดี แล้วเริ่มต้นใหม่แบบฉลาดกว่าเดิมนะคะ 🧠🏡

Join The Discussion